คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดกับการต้องรอคิวนานในโรงพยาบาลหรือไม่?
กังวลเรื่องการพาลูกป่วยออกนอกบ้านในช่วงที่มีโรคระบาด?
Telemedicine หรือ “หมอออนไลน์” เข้ามาเปลี่ยนประสบการณ์การรักษาพยาบาลของคนไทยให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น
หลังจากการระบาดของโควิด-19 ตลาดบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ในประเทศไทยได้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่และบริษัทสตาร์ตอัปรายใหม่เข้ามาให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้และค่าใช้จ่ายต่อผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับตลาดการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตสูงสุดในแง่ของรายได้ต่อผู้ใช้ โดยเพิ่มขึ้นจาก 65.02 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 86.08 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2028 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 5.77% สะท้อนให้เห็นว่าทั้งในไทยและต่างประเทศ คนเริ่มให้คุณค่าและเต็มใจจ่ายมากขึ้นสำหรับบริการทางการแพทย์ออนไลน์ที่สะดวกและเข้าถึงง่าย [1]
Telemedicine ทางการแพทย์คืออะไร?
Telemedicine คือการให้บริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารทางไกล ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาและคำปรึกษาจากแพทย์โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาโรงพยาบาล โดยระบบนี้ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การสื่อสารผ่านวิดีโอ, แอปพลิเคชันมือถือ, และอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์ทุกสิ่งที่เชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อเชื่อมต่อผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์
ประโยชน์ของ Telemedicine
Telemedicine สำหรับโรงพยาบาล
- ลดความแออัดในโรงพยาบาล
- ประหยัดทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- ขยายการให้บริการได้กว้างขวางมากขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรคติดต่อในโรงพยาบาล
Telemedicine สำหรับแพทย์
- ดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง
- เพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
- ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง
- สามารถให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยได้แม้อยู่ต่างพื้นที่
Telemedicine สำหรับผู้ป่วย
- ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
- ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องแม้อยู่ที่บ้าน
- ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการเดินทางไปโรงพยาบาล
การใช้ Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกลในปัจจุบัน
Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกล พัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน Telemedicine มีหลากหลายรูปแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งช่วยให้การดูแลสุขภาพมีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
5 ข้อด้านล่างนี้คือ ตัวอย่างของ Telemedicine ที่เป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ ตัวอย่างเกิดขึ้นแล้วในโรงพยาบาลของไทย
- การวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
ปัจจุบันมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น ภาพเอกซเรย์ปอดหรือภาพสแกนสมอง ซึ่งสามารถช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบ AI ของ Google Health สามารถตรวจจับมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้แม่นยำกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ - การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านระบบอัจฉริยะ
หลายโรงพยาบาลและคลินิกในประเทศไทยได้นำระบบ Chatbot มาใช้ในการคัดกรองอาการเบื้องต้นและให้คำแนะนำทางสุขภาพ เช่น แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีฟีเจอร์ประเมินความเสี่ยงโควิด-19 และให้คำแนะนำเบื้องต้น ช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์และให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว - แอปพลิเคชันวิดีโอคอลกับแพทย์
โรงพยาบาลหลายแห่งในไทยเปิดให้บริการปรึกษาแพทย์ผ่านวิดีโอคอล ทำให้ผู้ป่วยสามารถพูดคุยกับแพทย์ได้โดยตรงแม้อยู่ที่บ้าน เหมาะสำหรับการติดตามอาการหลังการรักษาหรือการปรึกษาอาการเบื้องต้น - อุปกรณ์ IoT สำหรับติดตามสัญญาณชีพ
การใช้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ เช่น นาฬิกา Apple Watch หรือ Fitbit ในการติดตามสัญญาณชีพของผู้ป่วย และส่งข้อมูลให้แพทย์ติดตามอาการได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจหรือเบาหวาน - ระบบวิเคราะห์ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอัตโนมัติ
หลายโรงพยาบาลในไทยได้นำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการวิเคราะห์ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการรายงานผล ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ความท้าทายและโอกาสของ Telemedicineในไทย
ปัจจุบันประเทศไทยยังอยู่ในช่วงพัฒนากฎหมายรองรับ Telemedicine อย่างเต็มรูปแบบ โดยตลาด Telehealth ในไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงสุดที่ 5.25% ในช่วงปี 2023 ถึง 2030 [1] นอกจากนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าคนไทยเริ่มเปิดรับการใช้บริการแพทย์ทางไกลมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี [1]
กราฟแสดงแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของตลาด Telehealth ในไทย ตั้งแต่ปี 2017-2028 [1]
กรณีศึกษา Telemedicine : “หมอคู่คิดส์” แอปฯ หมอเด็กออนไลน์เจ้าแรกของไทย
หมอคู่คิดส์ แอปฯ หมอเด็กออนไลน์เจ้าแรกของไทย บริษัทในเครือ Looloo Health ภายใต้บริษัท Looloo Technology ได้นำเอาเทคโนโลยี Telemedicine เข้ามาเพิ่มโอกาสให้เด็กไทยทุกคนให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดีได้อย่างเท่าเทียม ด้วยการรวมเอาทีมแพทย์และพยาบาลจาก รพ.ชั้นนำของไทย เข้ามาช่วยตอบคำถามเรื่องเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนโต ได้ตั้งแต่ถามเรื่องสุขภาพเด็กหรือจะเช็กพัฒนาการ
ไม่ว่าเรื่องไหนผู้ปกครองปรึกษาออนไลน์ได้ตลอด ทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกช่วงเวลา ช่วยลดความกังวลของผู้ปกครอง ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที ปัจจุบันแอปฯ นี้มีผู้ใช้งานกว่า 100,000 ราย ภายในปีแรก รวมถึงได้รับรีวิวจากพ่อแม่ผู้ใช้งานจริงกว่า 8,000+ คน บอกว่า หลังปรึกษาพอใจเหมือนไปโรงพยาบาล
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://morkookids.com
ประโยชน์สำหรับผู้ปกครองและเด็ก:
- ลดความกังวลของผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลาน
- ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการพาเด็กไปโรงพยาบาล
- ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที
- เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน
อนาคตของ Telemedicine ในไทย
Telemedicine ในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน กระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายพัฒนาระบบ Telemedicine ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบคลาวด์ ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลผ่านโครงการ “เน็ตประชารัฐ” เพื่อขยายบริการสู่พื้นที่ห่างไกล
นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันกฎหมายและนโยบายสนับสนุน พร้อมทั้งพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติสำหรับ Telemedicine การนำเทคโนโลยี 5G และ AI มาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลและการวินิจฉัยโรค ส่งผลให้ตลาด Digital Health ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้ Telemedicine กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบสาธารณสุขไทยในอนาคตอันใกล้
Telemedicine: ความหวัง อนาคตวงการแพทย์ไทย
Telemedicine กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าระบบสาธารณสุขไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาล การผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Telemedicine ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการกำหนดนโยบายและมาตรฐาน ภาคเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมและบริการ และภาคประชาชนในการเปิดรับและใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ด้วยทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง Telemedicine จะไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกในการรักษาพยาบาล แต่จะกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบสาธารณสุขไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ข้อมูลอ้างอิง
[1] https://www.abeam.com/content/dam/abeam/th/en/insights/013/wp_013.pdf
—————————————–
Looloo Technology is a leading AI consulting company, renowned for delivering cutting-edge and customized AI and Data Analytics solutions, with expertise in predictive analytics, natural language processing (NLP), intelligent document processing (IDP), and automatic speech recognition (ASR), Our application of design thinking methodology ensures a deep understanding of our clients, complemented by a strategic consulting approach to identify areas for maximal impact. Emphasizing rigorous user testing, we fine-tune our solutions to precisely meet the users needs.
Our team is a collective of exceptional individuals with global experience handpicked from top institutions. Their relentless pursuit of excellence and commitment to innovation is what sets us apart and help bring our clients substantial growth and profitability.
🌐 Website : www.loolootech.com
📱 Facebook : Looloo Technology
📸 Instagram : loolootech
TikTok: @loolootech