ยุคที่ข้อมูลเป็นทรัพยากรสำคัญของธุรกิจ การแปลงข้อมูลเสียงเป็นข้อความดิจิทัลกลายเป็นกระบวนการสำคัญสำหรับองค์กร โดยเฉพาะในภาคการเงิน การธนาคาร ประกันภัยและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่เจอกับงานที่เต็มไปด้วยข้อมูลเสียงจำนวนมาก
เทคโนโลยี AI Speech-to-Text กำลังเข้ามาเปลี่ยนระบบการทำงานอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาล่าสุดของ McKinsey & Company พบว่า ระบบ AI สามารถประมวลผลได้เร็วกว่ามนุษย์ 5-10 เท่า และลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 30% ด้วยการลดจำนวนคนตรวจสอบไฟล์เสียงแสนชั่วโมง/เดือน ให้เหลือเพียงไม่ถึง 15 ชั่วโมง/เดือน และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้มากกว่า 10%
ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการแปลงเสียงเป็นข้อความ
แปลงเสียงเป็นข้อความด้วยพนักงาน Human Transcription
กระบวนการที่ผู้เชี่ยวชาญถอดความฟังเสียงหรือวิดีโอ แล้วพิมพ์ข้อความตามที่ได้ยิน โดยขั้นตอนนี้อาศัยทักษะของมนุษย์ในการรับรู้ ตีความบริบท ความหมายแฝงที่อาจไม่ชัดเจนในการสื่อสารด้วยเสียง
แปลงเสียงเป็นข้อความด้วย AI : Speech-to-Text
เทคโนโลยีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยเข้ามาช่วยมนุษย์ฟัง “ไฟล์เสียง” หรือบทสนทนาต่าง ๆ แล้วใช้คณิตศาสตร์แปลงเสียงเป็นข้อความแบบอัตโนมัติ ก่อนแสดงผลออกมาในรูปแบบที่อ่านได้ เช่น เอกสาร Word หรือ PDF
เปรียบเทียบต้นทุน “แปลงเสียงเป็นข้อความ” คน vs AI Speech-to-Text
เมื่อเข้าใจพื้นฐานของทั้งสองวิธีแล้ว การเปรียบเทียบในแต่ละด้านจะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นในการตัดสินใจ ทั้ง Human Transcription และ AI Speech-to-Text ล้วนมีจุดแข็งและข้อจำกัดต่างกัน จะช่วยให้องค์กรเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการและบริบทของตนเอง
ความแม่นยำ (Accuracy)
การถอดเสียงโดยมนุษย์: แม่นยำสูงในบริบทที่ซับซ้อน เช่น การสนทนาที่มีผู้พูดหลายคน เสียงที่มีสำเนียงแตกต่างกัน หรือการใช้คำศัพท์เฉพาะทาง ทว่าเป็นความแม่นยำที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของผู้ถอดเสียง ซึ่งค่อนข้างผันแปรสูง
AI Speech-to-Text: ระบบ AI Speech-to-Text by WordSense ให้ความแม่นยำตั้งต้นอยู่ที่ 90% ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งเทียบเท่ากับการถอดเสียงโดยมนุษย์ที่มีประสบการณ์ และยิ่งระบบได้รับการฝึกฝนมากขึ้น ความแม่นยำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ประสิทธิภาพ (Efficiency)
การถอดเสียงโดยมนุษย์: ประสิทธิภาพไม่คงที่และอาจใช้เวลานาน เกิดความล่าช้าได้เมื่อมีปริมาณงานมาก ซึ่งจากการศึกษาของ Spaceo.ai (2023) มนุษย์ใช้เวลาเฉลี่ย 4-6 ชั่วโมง ในการถอดเสียงไฟล์เสียงยาว 1 ชั่วโมง โดยต้องพักเป็นระยะเพื่อรักษาความแม่นยำ อย่างงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การถอดเสียงการประชุมคณะกรรมการบริษัท อาจต้องใช้เวลานานกว่าเนื่องจากความซับซ้อนของเนื้อหา
AI Speech-to-Text: แปลงไฟล์เสียง 1 ชั่วโมงเป็นข้อความได้ภายใน 2-15 นาที ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยเทคโนโลยี Machine Learning ช่วยให้ระบบปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง โดยบางแพลตฟอร์มสามารถประมวลผลไฟล์เสียงขนาด 100 ชั่วโมงได้ภายใน 24 ชั่วโมง
ที่สำคัญ AI ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ ช่วยให้องค์กรทำงานจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ “ความสม่ำเสมอ” ของการทำงานยังเป็นอีกข้อได้เปรียบสำคัญ เนื่องจาก AI ไม่มีปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้า หรือสภาพจิตใจที่ส่งผลต่อคุณภาพงาน
ต้นทุน (Cost)
การถอดเสียงโดยมนุษย์: กรณีที่ปริมาณงานที่ไม่สม่ำเสมอ (Peak Volume) หากใช้พนักงานแปลงเสียง องค์กรต้องจ้างและจ่ายค่าตอบแทนตามปริมาณงานสูงสุด ขณะเดียวกันช่วงที่งานเยอะ ต้นทุนกลับเพิ่มขึ้นตามปริมาณงานและความเร่งด่วน เพราะต้องจ้างพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับงานที่มากขึ้น
AI Speech-to-Text: คิดค่าบริการตามการใช้งานจริง ขณะเดียวกันบางระบบมีโครงสร้างราคาที่ชัดเจนช่วยให้คาดการณ์ได้ ทั้งนี้ข้อมูลของ VoiceAI Connect บริษัทผู้ให้บริการถอดเสียง พบว่าการใช้ AI Speech-to-Text ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับการจ้างพนักงาน [2] ดังนั้น งานที่เน้นความเร็วและจำนวนมาก การใช้ Speech-to-Text จึงคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
ความเร็ว (Speed)
การถอดเสียงโดยมนุษย์: พนักงานต้องเสียเวลาทั้งฟัง พิมพ์และคอยตรวจเช็กอีกครั้ง โดยอัตราการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ พูด 1 นาที ใช้เวลาถอดเสียง 4-6 นาที งานด่วนพิเศษอาจลดเวลาเหลือ 2-3 นาทีต่อนาทีเสียง แต่เสี่ยงต่อความแม่นยำที่ลดลง 5-10%
AI Speech-to-Text: ประมวลผลได้เร็วกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว โดยสามารถแปลงเสียงเป็นข้อความได้แบบเรียลไทม์ ด้วยความเร็ว พูด 1 นาที ใช้เวลาถอดเสียง 0.5-1.5 นาที ด้วยการใช้ระบบคลาวด์ช่วยประมวลผลไฟล์เสียง 100 ชั่วโมง ให้แปลงได้ภายใน 24 ชั่วโมง
ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security)
การถอดเสียงโดยมนุษย์: เสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากต้องผ่านหลายขั้นตอนและบุคคล ทั้งการส่งไฟล์ผ่านช่องทางไม่ปลอดภัย การเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ส่วนตัว ตลอดจนโอกาสที่มนุษย์อาจเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ
AI Speech-to-Text: Speech-to-Text by WordSense มีระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่รัดกุม ไม่นำข้อมูลขององค์กรคุณไปเทรนร่วมกับบริษัทอื่น ทั้งยังมีการเข้ารหัสข้อมูลตั้งแต่ต้นจนจบการทำงาน ที่สำคัญระบบการทำงานได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก ISO27001 (การจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ Information Security Management System – ISMS)
ความสามารถในการขยายงาน (Scalability)
การถอดเสียงโดยมนุษย์: จำกัดด้วยจำนวนพนักงานและเวลาทำงาน การเพิ่มปริมาณงาน 100% ต้องการการจ้างงานเพิ่ม 80-120% รวมถึงต้องใช้เวลาฝึกอบรมพนักงานอีก 2-4 สัปดาห์ [2]
AI Speech-to-Text: รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากรบุคคลมากนัก ด้วยโครงสร้างที่ถูกมาเพื่อรองรับการประมวลผลไฟล์เสียงได้มากกว่า 10,000 ชั่วโมงต่อวัน [2] โดยไม่ต้องการการอัปเกรดระบบ ทำให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว
ฟรี! ทดลองใช้ Speech-to-Text by WordSense
Speech-to-Text by WordSense คือเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาโดยทีมวิศวกรจาก Looloo Technology เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บข้อมูล ซึ่งเข้าใจเสียงขององค์กรไทยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาในคอลเซนเตอร์ หรือการประชุมที่มีผู้พูดหลายคน ระบบนี้สามารถแปลงเสียงเป็นข้อความได้แม่นยำและปลอดภัย พร้อมปรับแต่งให้เข้ากับคำศัพท์เฉพาะของแต่ละธุรกิจ
เราเชื่อมั่นว่า ทุกองค์กรมีความพิเศษในแบบของตัวเอง และเทคโนโลยีของเราสามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งระบบให้เข้ากับกระบวนการทำงานเฉพาะขององค์กร หรือการพัฒนาโซลูชันที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
ทดลองใช้ Demo Speech-to-Text ไม่เก็บข้อมูล ไม่จำกัดขนาดข้อมูล
https://demo-asr.loolootech.com/live-speech-to-text
ฟรี! พูดคุย 3 ชั่วโมง! กับผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อธุรกิจที่ Smart และแม่นยำขึ้น 020287557 หรือ https://loolootech.com/wordsense-speech-to-text/
สรุป: Speech-to-Text โอกาสใหม่แห่งยุคดิจิทัลสำหรับองค์กรธุรกิจ
AI Speech-to-Text เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจยุคนี้ ด้วยการประมวลผลข้อมูลเสียงจำนวนมากอย่างรวดเร็ว คุ้มค่า และมีการพัฒนาต่อเนื่อง แม้บางสถานการณ์ยังต้องใช้ Human Transcription แต่ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI คาดว่าในอนาคตอันใกล้ ข้อจำกัดต่าง ๆ จะลดลง ทำให้ AI Speech-to-Text ไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือหลักขององค์กรที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยความแม่นยำและการปรับแต่งให้เข้ากับทุกบริบทการใช้งาน แน่นอนว่า องค์กรที่ปรับตัวและนำเทคโนโลยีนี้มาใช้แต่เนิ่น ๆ ย่อมได้เปรียบในการแข่งขันและพร้อมรับโอกาสใหม่
แหล่งข้อมูล
[1] https://www.mckinsey.com/capabilities/operations/our-insights/from-speech-to-insights-the-value-of-the-human-voice
[2] https://www.spaceo.ai/blog/ai-transcription-vs-human-transcription/
[3] https://gotranscript.com/blog/cost-benefit-analysis-automated-transcription
—————————————–
Looloo Technology is a leading AI consulting company, renowned for delivering cutting-edge and customized AI and Data Analytics solutions, with expertise in predictive analytics, natural language processing (NLP), intelligent document processing (IDP), and automatic speech recognition (ASR), Our application of design thinking methodology ensures a deep understanding of our clients, complemented by a strategic consulting approach to identify areas for maximal impact. Emphasizing rigorous user testing, we fine-tune our solutions to precisely meet the users needs.
Our team is a collective of exceptional individuals with global experience handpicked from top institutions. Their relentless pursuit of excellence and commitment to innovation is what sets us apart and help bring our clients substantial growth and profitability.
🌐 Website : www.loolootech.com
📱 Facebook : Looloo Technology
📸 Instagram : loolootech
TikTok: @loolootech